
คลิกเพื่อรับชมวิดิโอ RPM คืออะไร? ทำยังไงถึงจะได้สูงๆ | Creator Q&A
ค่า RPM ของ YouTube
ค่า RPM (Revenue Per Mille หรือ Revenue Per Thousand) ของ YouTube เป็นการวัดผลรายได้ที่ครีเอเตอร์สามารถสร้างได้จากวีดิโอ โดยคิดเป็นจำนวนเงินที่ได้รับจากทุกการรับชม 1,000 ครั้ง ซึ่งค่า RPM นี้จะรวมรายได้จากการแสดงโฆษณาและการสมัครสมาชิก YouTube Premium ค่า RPM สามารถมีความแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรายได้ในแต่ละช่วงเวลาหรือเนื้อหาในวีดิโอ ในบทความนี้น้องทู้ปจะสรุปปัจจัยหลัก 6 หัวข้อที่มีผลต่อค่า RPM ของ YouTube มาให้เพื่อนๆได้เข้าใจง่ายๆขึ้น
1. ประเภทของโฆษณา
สำหรับประเภทของโฆษณาที่แสดงบน YouTube มีอยู่สองประเภทหลักๆ คือ โฆษณาแบบ Auction (ประมูล) และ โฆษณาแบบ Reserve ซึ่งแต่ละประเภทส่งผลต่อรายได้ของครีเอเตอร์แตกต่างกันไป
Auction Ads: โฆษณาที่มาจากระบบประมูลของ YouTube ซึ่งค่าโฆษณาจะขึ้นอยู่กับผู้ที่เสนอราคาสูงสุดในแต่ละครั้ ง มักจะเป็นโฆษณาที่เน้นจำนวนการแสดงผลและเป็นที่ต้องการตามการค้นหาหรือกลุ่มเป้าหมาย
Reserve Ads: เป็นโฆษณาที่แบรนด์ใหญ่ๆ จองล่วงหน้าและต้องการแสดงในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งมักจะมีค่าโฆษณาที่สูงและแพงกว่าเพราะเป็นโฆษณาที่เจาะจงและควบคุมให้แสดงในเนื้อหาที่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายมากกว่า
ประเภทโฆษณาที่แตกต่างกันเหล่านี้จะทำให้ครีเอเตอร์ได้รับค่า RPM ที่ไม่เท่ากัน และโฆษณา Reserve มักให้รายได้ที่มากกว่าการประมูลปกติอีกด้วย
รู้จักประเภทของโฆษณาบน YouTube เพิ่มเติมคลิก 👉🏻 โฆษณาบนยูทูปมีกี่รูปแบบ? | Creator Tricks
2. ช่วงเวลาของการโฆษณา
ฤดูกาลและช่วงเวลาของปี เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อ ค่า RPM เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีแคมเปญที่ใหญ่ๆและสำคัญในแพลตฟอร์ม E- Commerce อย่าง 9.9 , 10.10 ,11.11 ก็จะมีการโฆษณามากเป็นพิเศษ หรือแม้แต่ในวันหรือเทศกาลสำคัญๆ เช่น เทศกาลคริสต์มาส ปีใหม่ ฮาโลวีน เป็นต้น
ช่วงเทศกาล: ช่วงเวลาที่มีเทศกาลหรือแคมเปญสำคัญ เช่น Black Friday, Christmas, หรือ New Year จะมีค่า RPM ที่สูงขึ้นเนื่องจากผู้โฆษณาใช้จ่ายเงินกับการตลาดมากขึ้น
ช่วงที่มีการใช้จ่ายต่ำ: ในบางช่วงของปี เช่น เดือนมกราคมหรือฤ ดูใบไม้ร่วง ผู้โฆษณามักลดการใช้งบประมาณในการโฆษณา ทำให้ค่า RPM ลดลงตามไปด้วย
3. กลุ่มประเทศของคนดู
กลุ่มประเทศที่ผู้ชมของช่องครีเอเตอร์อาศัยอยู่มีผลอย่างมากต่อค่า RPM ของ YouTube
ประเทศที่ค่าโฆษณาสูง: ประเทศในอเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันตก และบางประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ มักมีค่าโฆษณาที่สูงกว่า
ประเทศที่ค่าโฆษณาต่ำ: ในบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาใต้ หรือแอฟริกา ค่าโฆษณาอาจต่ำกว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีบางประเทศที่ YouTube ไม่สามารถสร้างรายได้ได้ เช่น เกาหลีเหนือหรือซีเรีย ซึ่ง YouTube อาจไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงโฆษณา หรือมีกฎหมายและข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถสร้างรายได้จากการโฆษณาได้ ซึ่งหากยอดวิวผู้ชมส่วนใหญ่ของเราเกิดจากผู้ชมในกลุ่มประเทศน ี้ ก็อาจส่งผลให้ค่า RPM ของเราลดต่ำลงได้
4. ความยาวของวีดิโอ
ความยาวของวีดิโอ มีผลต่อจำนวนโฆษณาที่สามารถแสดงได้ในวีดิโอหนึ่งๆ สำหรับวิดิโอสั้นที่มีความยาวต่ำกว่า 8 นาที การโฆษณาจะสามารถแสดงได้เพียงช่วงต้นและช่วงท้ายของวิดิโอเท่านั้น แต่สำหรับวิดิโอที่มีความยาวมากกว่า 8 นาทีขึ้นไป ครีเอเตอร์สามารถใส่โฆษณา Midroll Ads หรือโฆษณาที่เล่นระหว่างวิดิโอ เพิ่มเติมในช่วงกลาง ของวีดิโอได้ ซึ่งก็เพิ่มโอกาสในการได้รับรายได้มากขึ้นและค่า RPM สูงขึ้นด้วย
5. ข้อจำกัดของวีดิโอ
YouTube มีข้อกำหนดและข้อจำกัดที่ครีเอเตอร์ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้สามารถแสดงโฆษณาได้อย่างเต็มที่ เช่น ลิขสิทธิ์และ Advertiser Friendly Guidelines
ลิขสิทธิ์: วีดิโอที่ มีเนื้อหาที่ติดลิขสิทธิ์ เช่น เพลงที่ไม่มีสิทธิ์ใช้งาน จะไม่สามารถสร้างรายได้จากโฆษณาได้ หรือบางครั้งรายได้จะถูกแบ่งให้เจ้าของลิขสิทธิ์แทน
Advertiser Friendly Guidelines: วีดิโอที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน Advertiser Friendly อาจถูกจำกัดโฆษณาหรือไม่ได้รับโฆษณาเลย เช่น เนื้อหาที่มีความรุนแรงหรือไม่เหมาะสม ทำให้ค่า RPM ต่ำลง
6. การใช้ YouTube Premium หรือ Adblock
สำหรับปัจจัยนี้ถือเป็นสิ่ง ที่ครีเอเตอร์ไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับผู้ชมของเราล้วนๆเลยนั่นก็ คือ การใช้ YouTube Premium และ Adblock ค่ะ
YouTube Premium: หากผู้ชมที่รับชมวิดิโอของเราสมัครสมาชิก YouTube Premium ผู้ชมก็จะรับชมวีดิโอโดยไม่มีโฆษณา แต่เราก็จะได้รายได้จากผู้ชมกลุ่มนี้มาจากค่าธรรมเนียมการสมัครสมาชิกนั่นเอง และ YouTube จะจ่ายส่วนแบ่งให้ครีเอเตอร์ที่ได้รับการรับชม ซึ่งจะส่งผลให้เราได้ค่า RPM ที่เพิ่มขึ้น
Adblock: หากผู้ชมที่รับชมวิดิโอของเรานั้นใช้ซอฟต์แวร์ Adblock เราก็จะไม่ได้รับโฆษณาเลย ทำให้ครีเอเตอร์เสียโอกาสในการสร้างรายได้จากการแสดงโฆษณา ซึ่งอาจทำให้ค่า RPM ลดลง
ค่า RPM ของ YouTube มีความซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ประเภทของโฆษณา ช่วงเวลาของปี กลุ่มประเทศของผู้ชม ความยาวของวีดิโอ ข้อจำกัดของเนื้อหา ไปจนถึงการใช้ YouTube Premium หรือ Adblock ของผู้ชม ถ้าเพื่อนๆเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้เพื่อนๆสามารถปรับกลยุทธ์การผลิตเนื้อหาและการทำตลาดได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จาก YouTube ได้อย่างยั่งยืนอีกด้วยค่ะ😊